รองเง็งและเพลงตันหยง
รองเง็ง เป็นการละเล่นของชาวบ้านประเภทผสมผสานระหว่างท่าเต้นกับบทร้อง การแสดงเหมือนกับรำวงทั่วไป กล่าวคือ มีการจัดตั้งคณะรองเง็งขึ้นเป็นคณะ คณะหนึ่งมีนางรำประมาณ ๔ – ๑๐ คน นางรำเหล่านี้จะถูกฝึกให้มีความชำนาญในจังหวะการเต้นแบบต่างๆ พร้อมกันนั้นก็จะต้องสามารถร้องเนื้อร้องได้ทุกทำนอง และต้องรู้ทั้งบทกลอนที่ท่องกันมาและสามารถผูกกลอนสดขึ้นร้องโต้ตอบกับคู่รำได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ นางรำส่วนใหญ่มักจะได้รับการฝึกหัดมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในสมัยโบราณคณะรองเง็งคณะหนึ่ง มักจะเป็นคนในครอบครัวหรือเครือญาติเดียวกัน หรือไม่ก็คนในหมู่บ้านเดียวกัน (เพราะสะดวกในการฝึกซ้อม และในการเรียกรวมตัวเมื่อมีผู้มาติดต่องานการแสดง) หนึ่งในจำนวนนั้นจะมีนายโรงคนหนึ่งซึ่งมักจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีความรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมของรองเง็งเป็นอย่างดี และมักจะเป็นมือซอหรือมือไวโอลินประจำคณะด้วย
ลักษณะการแสดง ลักษณะการแสดงรองรองเง็งที่เหมือนกันกับรำวง คือ มีการแบ่งการเต้นเป็นรอบๆ หรือเป็นเพลง นางรำเมื่อรำเสร็จจะกลับไปนั่งยังที่จัดเตรียมไว้ให้เมื่อเพลงใหม่ดังขึ้น นางรำก็แต้นรำต่อจนจบเพลงโอกาสที่จะแสดง ในอดีตจะมีการแสดงรองเง็งหรือ ตันหยง จะแสดงตามเทศกาลวันสำคัญต่างๆ ปัจุจบันมักแสดงในงานรื่นเริงหรืองานที่เป็นมงคลต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานบวช งานเทศกาลของหมู่บ้าน เป็นต้น
องค์ประกอบของการแสดงรองเง็ง ผู้เต้นรองเง็ง ศิลปะการแสดงรองเง็งเป็นศิลปะการแสดงหมู่ ประกอบด้วยผู้เต้นทั้งชาย และหญิงเป็นคู่ จำนวนคู่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานที่ แต่ที่นิยมเต้นกันไม่ต่ำกว่า ๕ คู่ ชาย – หญิงฝ่ายละ ๕ ชายหนึ่งแถวและหญิงหนึ่งแถว ยืนห่างกันพอสมควรเพื่อความงามของการแสดงหมู่ ผู้แสดงจะต้องรู้จักจังหวะเพลงและลีลาในการเต้นงดงาม ท่าเต้น จะมีลีลาเต้นเคลื่อนไหวทั้งมือและเท้า รวมทั้งลำตัวอย่างนิ่มนวล จุดเด่นของการเต้นอยู่ที่การเต้นเปลี่ยนจังหวะช้าและเร็วของเพลงที่ใช้เต้น ลีลาของผู้เต้นก็จะเปลี่ยนไป บางเพลงมีลีลายั่วเย้าอารมณ์ และมีการหลบหลีกหยอกล้อเล่นหูเล่นตา บางเพลงมีการหมุนตัวสลับกันบ้าง นอกจากนั้นความงามอีกอย่างหนึ่งของการเต้นรองเง็งคือความพร้อมเพรียงในการเต้นและการก้าวเท้าไปหน้าและถอยหลังของท่าเต้น